พระเจ้าพิมพิสาร เป็นพระราชาแห่งแคว้นมคธ ซึ่งเป็นแคว้นที่ใหญ่และมีอำนาจมากที่สุดแคว้นหนึ่ง
ในสมัยพุทธกาลมีเมืองหลวงชื่อ กรุงราชคฤห์ พระองค์ได้ปกครองแคว้นมคธสืบต่อจากพระราชบิดา
เมื่อพระชนมายุ ๑๕ ปี และครองราชสมบัติอยู่เป็นเวลา ๕๒ ปี พระเจ้าพิมพิสารมีอัครมเหสี
พระนามว่าโกศลเทวี หรือ เวเทหิ ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระเจ้ามหาโกศล แห่งแคว้นโกศล
มีพระราชโอรสซึ่งประสูติจากพระนางเวเทหิ ๑ พระองค์ มีนามว่า อชาตศัตรู (ผู้เกิดมาไม่เป็นศัตรู)
พระองค์เลื่อมใสในเจ้าลัทธิหลายองค์ในสมัยนั้น แม้กระทั้งชฎิล ๓ พี่น้อง คือ อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ
คยากัสสปะ หลังจากได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา ที่สวนตาลหนุ่ม นอกเมืองราชคฤห์แล้ว
พระองค์บรรลุพระโสดาบัน จึงกลายเป็นพุทธมามกะที่เข้มแข็ง ประกอบกับแคว้นมคธเป็นรัฐมหาอำนาจในยุคนั้น
จึงทำให้พระพุทธศาสนาเผยแผ่ไปอย่างรวดเร็ว เมื่อยังทรงเป็นราชกุมาร ทรงตั้งความปรารถนาไว้ ๕ ประการ คือ
๑. ขอให้ได้อภิเษกในราชสมบัติ
๒. ขอให้พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้ามาสู่แว่นแคว้น
๓. ขอให้ได้เข้าไปนั่งใกล้พระอรหันต์นั้น
๔. ขอให้พระอรหันต์นั้นทรงแสดงธรรม
๕. ขอให้ได้รู้ธรรมของพระอรหันต์นั้น
พระเจ้าพิมพิสาร ทรงมีความสัมพันธ์กับพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่ต้น กล่าวกันว่าพระองค์ เป็นอทิฏฐสหาย
(สหายที่ไม่เคยเห็นหน้ากัน) กับเจ้าชายสิทธัตถะ สมัยที่ยังทรงเป็นพระกุมาร ด้วยพระเจ้าสุทโธทนะ
ทรงมีความสนิทสนมกับพระบิดาของพระเจ้าพิมพิสาร
พระ เจ้าพิมพิสารได้ทรงพบพระพุทธเจ้าครั้งแรก ในสมัยที่พระมหาบุรุษเสด็จออกบรรพชา
เสด็จมาพักที่เชิงเขาปัณฑวะ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ในสมัยนั้นพระเจ้าพิมพิสาร
ทรงเป็นมหาอุปราชยังมิได้ราชาภิเษก พระองค์ทรงพอพระทัยในบุคคลิกลักษณะของพระมหาบุรุษมาก
จึงทูลเชิญให้ครองราชสมบัติครึ่งหนึ่งแห่งแคว้นมคธ แต่พระมหาบุรุษทรงปฏิเสธ และตรัสบอก
ถึงความตั้งพระทัยของพระองค์ที่จะออกผนวชเพื่อแสวงหาอนุตรสัมมา สัมโพธิญาณ พระเจ้าพิมพิสาร
ทรงแสดงความยินดีด้วย และทูลขอต่อพระมหาบุรุษว่า เมื่อได้ตรัสรู้แล้วขอให้เสด็จกลับมา
โปรดพระองค์เป็นคนแรกด้วย
ความสัมพันธ์หลังการตรัสรู้
เมื่อ พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์
ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี และเสด็จจำพรรษา ณ ที่นั่น เมื่อออกพรรษาแล้ว
ทรงส่งสาวกไปประกาศพระศาสนายังแคว้นต่างๆ ส่วนพระองค์เองเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
ทรงสั่งสอนพระอุรุเวลกัสสปะพร้อมน้องชายทั้ง ๒ และบริวาร ๑,๐๐๐ คนให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
แล้วทรงดำริจะเสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสารตามที่ทูลขอไว้ พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า
พระเจ้าพิมพิสารเป็นผู้นำแคว้นใหญ่ ถ้าพระเจ้าพิมพิสารทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแล้ว
ประชาชนคนอื่นๆ ก็จะดำเนินรอยตาม ทรงดำริเช่นนี้จึงเสด็จไปยังเมืองราชคฤห์
สมัยนั้นพระเจ้าพิมพิสารและชาวเมืองทรงเคารพนับถือชฏิล ๓ พี่น้องอยู่ จึงต้องไปโปรดชฏิล ๓ พี่น้องก่อน
เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดชฏิล ๓ พี่น้องสละลัทธิความเชื่อดั้งเดิมมาเป็นสาวกของพระองค์แล้ว
ก็พาสาวกใหม่จำนวน ๑,๐๐๓ รูปไปพักยังสวนตาลหนุ่ม (ลัฏฐิวัน) ใกล้เมืองราชคฤห์
เมื่อ พระเจ้าพิมพิสารได้สดับข่าวนี้ จึงเสด็จพร้อมประชาชนจำนวนมากไปยังสวนตาลหนุ่ม
ได้เห็นอาจารย์ของตนนั่งคุกเข่าประคองอัญชลีต่อพระพุทธเจ้า ประกาศเหตุผลที่สละลัทธิความเชื่อถือเดิม
หันมานับถือพระพุทธศาสนา ก็หายสงสัย ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเมื่อจบพระธรรมเทศนา
พระเจ้าพิมพิสารทรงบรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระโสดาบัน ประกาศพระองค์เป็นผู้นับถือพระพุทธศานาและถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวก ทรงดำริถึงที่ประทับอันเหมาะสม สำหรับพระพุทธเจ้าพร้อมภิกษุสงฆ์ที่พระราชวังในวันรุ่งขึ้น หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ถวายสวนไผ่นอกเมืองให้เป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา เรียกว่า วัดเวฬุวัน เวฬุวันนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
กัลบทนิวาปสถานคือ สถานที่ให้เหยื่อแก่กระแต
![]() |
"พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน" หรือ "เวฬุวันกลันทกนิวาป" |
พระเจ้าพิมพิสารเป็นคนแรกที่ทำพิธีกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตายเรื่องมีอยู่ว่าหลังจากถวายวัดเวฬุวันแล้วคืนนั้น พระเจ้าพิมพิสารทรงฝันร้าย เห็นพวกเปรตมาร่ำร้องอยู่ต่อหน้า น่าเกลียดน่ากลัวมาก รุ่งเช้าขึ้นมาพระองค์เสด็จไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อทรงทราบว่าเปรตเหล่านั้นเคยเป็นพระญาติของพระองค์มาขอส่วนบุญ และได้รับคำแนะนำให้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขา วันต่อมาพระเจ้าพิมพิสารจึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมภิกษุสงฆ์ไปเสวย ภัตตาหารในพระราชวังแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลแก่พวกเปรตเหล่านั้น ตกดึกคืนนั้นพวกเปรตได้มาปรากฏอีก แต่คราวนี้หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
ขอบคุณที่แบ่งส่วนบุญให้แล้วก็อันตรธานหายวับไป
๐ ความสัมพันธ์พระเจ้าพิมพิสารกับพระเจ้าปเสนทิโกศล อาณาเขตแคว้นมคธพระเจ้าพิมพิสาร แห่งเมืองราชคฤห์ และพระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งเมืองสาวัตถีมีความเกี่ยวข้องกันโดยต่างก็ได้ ภคินี (น้องสาว) ของกันและกันมาเป็นมเหสี แต่เนื่องจากในเมืองสาวัตถีของพระเจ้าปเสนทิโกศลนั้น ไม่มีเศรษฐีตระกูลใหญ่ๆ ผู้มีทรัพย์สมบัติมากเลย และได้ทราบว่าในเมืองราชคฤห์มีเศรษฐีผู้มีทรัพย์สมบัติมากมายถึง ๕ คน คือ โชติกเศรษฐี ชฎิลเศรษฐี เมณฑกเศรษฐี
ปุณณกเศรษฐี และกากวัลลิยเศรษฐี พระเจ้าปเสนทิโกศล จึงเสด็จมายังเมืองราชคฤห์เพื่อขอพระราชทานตระกูลเศรษฐีในเมืองราชคฤห์นี้ไปอยู่ในเมืองสาวัตถีสักหนึ่งตระกูล
พระเจ้าพิมพิสารตรัสว่า "การโยกย้ายตระกูลใหญ่ๆ เพียงหนึ่งตระกูลก็เหมือนกับแผ่นดินทรุด"
แต่เพื่อรักษาสัมพันธไมตรีต่อกันไว้หลังจากที่ได้ปรึกษากับอำมาตย์ทั้งหลายแล้ว
จึงยกตระกูลธนัญชัยเศรษฐี (บุตรของเมณฑกเศรษฐี)ให้ไปธนัญชัยเศรษฐีได้ขนย้ายทรัพย์สมบัติ
พร้อมทั้งบริวารและสัตว์เลี้ยงทั้งหลายเดินทางสู่เมืองสาวัตถีพร้อมกับพระเจ้าปเสนทิโกศล
ขณะที่พักค้างแรมระหว่างทางก่อนเข้าเมือง ธนัญชัยเศรษฐีเห็นว่าภูมิประเทศบริเวณที่พักเหมาะสมดี
อีกทั้งตนเองก็มีบริวารติดตามมาเป็นจำนวนมาก ถ้าไปตั้งบ้านเรือนภายในเมืองก็จะคับแคบ
จึงขออนุญาตพระเจ้าปเสนทิโกศลก่อตั้งบ้านเมืองลงที่นั้น และได้ชื่อเมืองใหม่ว่า "สาเกต"
ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองสาวัตถี ๗ โยชน์
หลังจากพระเจ้าพิมพิสารหัน มานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาจนแว่นแคว้นของพระองค์มีชื่อเสียงขจรไปทั่วว่า เป็นดินแดนแห่งพระธรรม และได้พระราชทานหมอชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งเป็นแพทย์ประจำราชสำนัก ให้เป็นหมอประจำองค์พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์พระเจ้าพิมพิสารมีพระราชโอรสผู้หลงผิดพระองค์หนึ่งคือ พระเจ้าอชาตศัตรูซึ่งประสูติจากพระนางเวเทหิและเป็นรัชทายาท ก่อนประสูติ ขณะทรงพระครรภ์ พระนางเวเทหิทรงมีอาการแพ้พระครรภ์ทรงอยากเสวยพระโลหิตจากพระพาหาข้างขวาของ พระสวามี พระเจ้าพิมพิสารจึงกรีดเอาพระโลหิตของพระองค์ให้พระนางเวเทหิทรงเสวย โหราจารย์ได้ทำนายว่า พระโอรสของพระองค์จะปิตุฆาต คือปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสาร พระองค์ทรงรักใคร่พระราชโอรสมาก แม้จะมีคำทำนายที่ร้ายแรงและพระนางเวเทหิจะทรงพยายามทำลายพระครรภ์เพื่อป้องกันภัยแก่พระองค์ แต่พระองค์ทรงห้ามและโปรดให้ดูแลรักษาพระครรภ์เป็นอย่างดี เมื่อ พระเจ้าอชาตศัตรูเจริญวัยขึ้น ได้เลื่อมใสในพระเทวทัต จึงถูกพระเทวทัตชักชวนให้ทำปิตุฆาต โดยพระเจ้าอชาตศัตรูทรงให้ขังพระราชบิดาของพระองค์ ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าพบนอกจากพระนางเวเทหิ และต่อมาก็ทรงห้ามเข้าพบเด็ดขาด ทั้งนี้เพื่อปิดกั้นหนทางมิให้พระนางเวเทหิมีโอกาสซุกซ่อนอาหารเข้าไปถวาย พระสวามี และจะได้เร่งให้พระเจ้าพิมพิสารสวรรคตไปตามแผนการ แต่พระเจ้าพิมพิสารทรงเป็นอริยบุคคล สามารถเสวยสุขมีความอิ่มพระทัยได้ด้วยการเสด็จจงกรม จึงทรงพระชนม์อยู่ต่อไปได้อีกในขั้นสุดท้ายพระเจ้าอชาตศัตรูจึงให้กรีดพระบาททั้งสองข้างของพระเจ้าพิมพิสาร เอาเกลือทา ย่างด้วยถ่านไฟร้อน เพื่อไม่ให้เสด็จจงกรมได้อีกต่อไป พระเจ้าพิมพิสารทนทุกขเวทนาไม่ไหวก็สิ้นพระชนม์ในที่คุมขังนั้นเอง
![]() |
คุกที่คุมขังพระเจ้าพิมพิสาร |
ขณะที่พระเจ้าพิมพิสารได้สิ้นพระชนม์ พระ โอรสของพระเจ้าอชาตศัตรูก็ประสูติ พระเจ้าอชาตศัตรู
ทรงมีความรักใคร่เสน่หาในพระโอรสมาก จึงทรงสำนึกขึ้นได้ว่าพระเจ้าพิมพิสารคงจะทรงรักใคร่พระองค์
เช่นนั้นเหมือนกัน ครั้นสำนึกได้ก็ตรัสรับสั่งให้ปล่อยพระราชบิดา แต่ปรากฏว่าพระราชบิดาได้สิ้นพระชนม์ก่อนแล้ว ทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูเสียพระทัยเป็นอันมาก หลังจากนั้นพระเจ้าอชาตศัตรู
ได้เข้าเฝ้าพระนางเวเทหิพระราชมารดา แล้วถามว่า "ตอนที่หม่อมฉันเกิดพระราชบิดาของหม่อมฉัน
เกิดความรักหม่อมฉันหรือไม่พระเจ้าข้า" "เจ้า ลูกผู้เป็นพาล เจ้าถามอะไรอย่างนั้น
เวลาที่ลูกยังเล็กอยู่ได้เกิดฝีที่นิ้วมือครั้งนั้นพวกแม่นมไม่อาจจะทำให้ ลูกที่กำลังร้องไห้อยู่
หยุดร้องได้ เสด็จพ่อได้อมนิ้วมือของลูกจนฝีแตกในพระโอฐนั่นเอง ครั้งนั้นเสด็จพ่อของเจ้า
ไม่ได้ทรงลุกจากที่ประทับแต่ทรงกลืนบุพโพและโลหิตของเจ้าด้วยความรัก"พระ เจ้าอชาตศัตรูได้จัดการถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระราชบิดาอย่างสมพระเกียรติ
และทรงเลิกคบกับพระเทวทัต หันมาทำบุญในพระพุทธศาสนา เช่นเป็นองค์อุปถัมภ์ในการทำสังคายนาครั้งที่ ๑
เป็นต้น แต่ก็ล้างบาปที่ทำปิตุฆาต (ฆ่าบิดา) ซึ่งเป็นอนันตริยกรรม (กรรมหนักหาที่สุด) มิได้
คัดลอกข้อมูลมาจาก
:พี่ฝน
:เปี๊ยก
http://www.cosmicnirvana.com/home/modules/content/index.php?id=388
แหล่งที่มาของข้อมูล
๑) http://dhammathai.org/sawok/sawok04.php
๒) http://www.dharma-gateway.com/buddha/buddha-history/buddha-history-misc-11.htm
๓) http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7263
๔) หนังสือ พระเจ้าอชาตศัตรู ฉบับการ์ตูน พิมพ์ครั้งที่๓ จัดทำโดย โอม รัชเวทย์ สำนักพิมพ์ อัมรินทร์คอมมิกส์


Powered by XOOPS CMS
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น